บทความเครื่องใช้ไฟฟ้า
2 วิธีเบื้องต้นที่ควรรู้ก่อนเลือกซื้อ TV
| June 1, 2018
ใกล้ฟุตบอลโลกเข้ามาทุกที วันนี้แสงวิจิตจะมาแนะนำให้ลูกค้าดูกันค่ะว่าวิธีเลือกหน้าจอทีวีแต่ล่ะประเภทและความหมายของความละเอียดภาพแต่ล่ะแบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันว่า HD บ้าง Full HD บ้าง มันคืออะไรเราไปดูกันค่ะ
- อันดับแรกเรามาดูความหมายของความแตกต่างของหน้าจอทีวีแต่ละประเภทกันค่ะ ว่าแต่ล่ะแบบมีความหมายและความแตกต่างกันอย่างไร
– LCD (Liquid Crystal Display) เป็นเทคโนโลยีแรกๆ สำหรับทีวีจอแบน ใช้หลอดไฟ CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamp) ขนาดเท่าหลอดกาแฟ วางเรียงตัวเป็นแนวนอนอยู่ภายใต้หน้าจอเป็นตัวก่อกำเนิดแสง (Backlit) ทำงานร่วมกับ Color Filter ทั้ง 3 สี ได้แก่ สีแดง น้ำเงิน และเขียว ก่อนแสดงผลออกมาสีสันต่างๆ ที่เราเห็นบนจอภาพนั่นเอง
– LED (light-emitting diode) เป็นประเภทของทีวียอดนิยมมากที่สุดในตลาด ต่อยอดเทคโนโลยีมาจาก LCD ใช้หลอดไฟ LED ขนาดจิ๋ว 3 สี ได้แก่ สีแดง น้ำเงิน และเขียว เป็นตัวกำเนิดแสง แต่กลับให้แสงสว่างได้ดีว่า LCD กินไฟน้อยกว่า และตัวเครื่องมีความบางยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ LED TV ยังมีตัวเลือกที่น่าสนใจ แบ่งออกเป็นดังนี้
– EDGE LED เป็นประเภทที่มีการจัดวางหลอด LED ไว้ตามขอบทีวีทั้ง 4 ด้าน ทำหน้าที่ยิงแสงเข้ามากลางจอทีวี มีส่วนทำให้ตัวเครื่องมีขนาดบางลง และกินไฟน้อยกว่า LCD TV แต่จะมีข้อจำกัดในเรื่องของการแสดงสีสันที่จะด้อยกว่าประเภท Full LED
– Full LED จะเหนือกว่า EDGE LED ในเรื่องของการแสดงสีสันของภาพคมชัด สีสันสดใส Contrast สูง มีการจัดวางหลอด LED เต็มแผงหน้าจอ ส่งผลให้ตัวเครื่องมีความหนาขึ้นเล็กน้อย เพิ่มเติมด้วยเทคโนโลยี Local dimming ที่สามารถกำหนดการเปิดและปิดไฟเฉพาะจุดอัตโนมัติ ส่งต่อการแสดงภาพที่มีความสมจริง
– RGB LED เรียกได้ว่าเป็นตัวท็อปสุดของ LED เนื่องจากใช้หลอด LED 3 สีคือ RGB (แดง, เขียว, น้ำเงิน) เป็นตัวกำเนิดแสงมาจับเป็นกลุ่มเรียงเต็มแผงหน้าจอ พร้อมใช้เทคโนโลยี Local dimming แบบเดียวกับ Full LED ช่วยให้การแสดงผลภาพและสีสันมีความถูกต้อง ชัดเจน มีมิติมากกว่า แต่ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงขึ้นกว่าทั้งสองประเภทที่กล่าวมา
– Plasma TV อีกประเภทของจอทีวี มีเม็ดพิกเซลที่สามารถให้กำเนิดแสงได้เองด้วยแรงดันไฟฟ้า แสดงภาพเคลื่อนไหวได้ดี ให้สีดำที่ดำสนิท สีสันมีความเป็นธรรมชาติ มีมิติและมุมมองของการแสดงภาพที่กว้างกว่า LCD TV แต่กระจกของ Plasma TV จะสะท้อนแสงเมื่อตั้งอยู่ในห้องที่มีแสงจ้ามากๆ ทำให้ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอลดคุณภาพลงไปพอสมควร รวมถึงมีอัตราการกินไฟมากอีกด้วย
– OLED TV (Organic Light Emitting Diodes) เป็นประเภทของทีวีสมัยใหม่ ที่เสมือนเป็นการนำจุดแข็งของทีวีแต่ละประเภทมารวมไว้ในที่เดียว เม็ดพิกเซลสามารถให้กำเนิดแสงได้เองคล้ายกับ Plasma TV ไม่ต้องพึ่งหลอดไฟเหมือน LCD หรือ LED จุดเด่นของจอ OLED คือความบางและความยืดหยุ่น สามารถพัฒนาหน้าจอให้มีความโค้งได้ กินไฟน้อย แสดงสีสันของภาพได้สม่ำเสมอไม่ว่าจะมองจากองศาใดก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่าเทคโนโลยีที่ทันสมัยย่อมตามมาด้วยราคาที่แพงขึ้น
- เมื่อเราได้ประเภทของหน้าจอแล้ว เรามาเลือกดูที่ความละเอียดของภาพ (Resolution) ซึ่งตัวนี้ก็เป็นจุดสำคัญของการเลือกซื้อ TV เลยค่ะ ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าในตลาดบ้านเราความละเอียดเริ่มต้นของทีวีจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ค่ะ
– HD (1366 x 768 Pixel) เป็นมาตรฐานความละเอียดที่แพร่หลายในตลาดปัจจุบัน รวมถึงรายการหรือละครทางทีวีหลายช่องในระบบทีวีดิจิตอล ก็มีการแพร่ภาพในระบบ HD แล้วด้วย สนับสนุนรับชมภาพที่มีความคมชัดและลงตัว นอกจากนี้ราคาทีวียังไม่แพงอีกด้วย
– Full HD (1920 x 1080 Pixel) อีกหนึ่งความละเอียดที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ช่วยในการดูหนังแบบ Blu-ray, คอนเทนต์หรือรายการทีวีแบบ Full HD ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และแน่นอนเป็นความละเอียดที่สอดคล้องกับการรับชมรายการในระบบทีวิดิจิตอล
– UHD (Ultra High Definition หรือ 4K) มีความละเอียดอยู่ที่ 3840 x 2160 Pixel สูงกว่า Full HD ถึง 4 เท่า ซึ่งประโยชน์ของการแสดงภาพในความละเอียดระดับ UHD จะช่วยให้เราได้ชมภาพที่มีความคมชัด เสมือนจริง แถม UHD TV บางรุ่นยังมีฟังก์ชั่น Upscale ภาพ ในระดับ Full HD ให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียง UHD ได้ แต่ต้องยอมรับว่าคอนเทนต์ หรือรายการทีวีที่มีการถ่ายทำแบบ UHD ในประเทศไทยยังแทบไม่มีให้เห็น และราคาทีวียังค่อนข้างสูง